ฆ้อง กลองเพล ระฆัง กลองยาว โปง ผางฮาด(ฆ้องจีน) ฉาบ กระดิ่ง พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ โดย คุณอัมพร หอมพิกุล (045-849040 หรือ 081-9553178) http://gongbigdrumandbellseller.siam2web.com/

คุณอัมพร หอมพิกุล ผู้จำหน่าย ฆ้อง กลองเพล ระฆัง กลองยาว โปง ผางฮาด(ฆ้องจีน)  จัดส่งทั่วประเทศ รับซ่อมกลองเพล ด้วยครับ

 

Google

  

   (Root) 2010223_59609.jpg   แผนที่  Map      

         อดีตที่ผ่านมาชาวบ้านตำบลทรายมูลมีอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถทำได้ปีล่ะครั้งหรือทำนาปี เมื่อสิ้นสุดฤดูทำนา แต่ละครอบครัวต่่างหารายได้เสริม และครอบครัวของเราก็เช่นกัน คุณตาของผม (คุณบัวทอง บรรเทา) และคุณพ่อของผม (คุณอัมพร หอมพิกุล) ได้ทำการค้าขายโดยเริ่มจากการตระเวนเร่ขายหนังสือพระไตรปิฏก และฆ้อง ตามวัด และตามร้านสังฆภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอ และจังหวัดต่าง ๆ โดยเริ่มแรกเดินทางโดยใช้จักรยาน และต่อมาภายหลังได้พัฒนาเป็นจักรยานยนต์ และรถยนต์ ตามลำดับ

          ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนการทำฆ้องหรือการตีฆ้องนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทน และความสามารถ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นงานฝีมือทั้งศาสตร์และศิลป์ เมื่อก่อนฆ้องจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง 60 - 120 เซนติเมตร ซึ่งฆ้องหนึ่งลูกหรือหนี่งใบนั้นจะใช้เวลาประมาณ 2 วัน โดยต้องนำแผ่นทองเหลืองที่ได้มาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มาตัดให้เป็นวงกลมจากนั้นทำการลบคมจากการตัดนั้นด้วยการนำเหล็กมาตีส่วนที่คมให้ทู่ เมื่อได้แล้วก็ทำการทำเครื่องหมายส่วนที่จะตีขึ้นขอบ และตีจูม จากนั้นก็นำแผ่นทองเหลืองที่เตรียมไว้แล้วเผาด้วยไฟให้ร้อน แล้วมาตีขึ้นรูปจนกว่าจะได้รูปร่าง ลักษณะทีเป็นฆ้องอย่างที่เห็นกันนีล่ะครับ สำหรับผมแล้วผมทึ่งมากตอนที่การตีฆ้องให้ได้เสียงที่ไพเราะ กังวาน อย่างที่ต้องการ เพราะผมเคยเห็นพ่อผมตีฆ้อง ไม่รุ้เหมือนกันว่าถ้าเสียงเพี้ยนแล้ว ต้องเอาฆ้อนเหล็กไปตีตรงไหน หรือตีด้านไหนจึงจะทำให้เสียงฆ้องนั้นดังไพเราะ และกังวาน เมื่อขี้นรูปและกำหนดเสียงตามความต้องการแล้วก็ทำการเผาไฟรมดำ แต่ปัจจุบันใช้สีดำทา เมื่อรมดำเสร็จแล้วก้อเป็นการวาดลาย ซึ่งช่างบางคนสามารถวาดลายได้อย่างสวยงามมากครับ

         คุณพ่อของผม (คุณอัมพร หอมพิกุล) ทำฆ้องและจำหน่ายฆ้องมานานกว่า 30 ปีแล้วครับและปัจจุบันก็ยังคงทำอยุ่ เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ครอบครัวและท้องถิ่นได้ดีพอสมควรครับ และที่ตำบลทรายมูลของเรา เป็นแหล่งที่ผลิตฆ้องที่มีคุณภาพมากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ครับ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่น ๆ อีก เช่น กลองเพล ระฆัง กลองยาว และโปง สามารถดูรายละเอียดสินค้าได้ที่หน้าเว็บไซด์นี้ได้ครับ

         แต่เริ่มเดิมทีฆ้องก็มีจูมเดียวตรงกลางฆ้องเช่นเดียวกับฆ้องทั่วไป  จนถึงประมาณปี  พ.ศ.  2535  พระวิสุทธิ์ญาณเถร  (หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย)  ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม  ตำบลเขาบายศรี  อำเภอท่าใหม่  จังหวัดจันทรบุรี  ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์สายพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดดอนธาตุ  (พระอาจารย์เสาร์  กันตสีโล  เคยจำพรรษา)  วัดนี้ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูล  ที่บ้านทรายมูล  ตำบลทรายมูล  ซึ่งมีอาชีพทำฆ้องจำหน่ายทั่วประเทศ

               พระวิสุทธิญาณเถรได้แสดงความคิดเห็นต่อบรรดาชาวทำฆ้องทั้งหลายว่า  ที่กรุงเทพฯได้เกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่เรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” คนไทยสู้รบกันเองบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก  เหตุการณ์สงบลงได้ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เช่นเดียวกับเหตุการณ์  “วันมหาวิปโยค” 14 ตุลาคม 2516  และ  6 ตุลาคม 2519  ซึ่งเป็นเหตุการณ์รุนแรงในประเทศ

               ส่วนเหตุการณ์ร้ายแรงจากนอกประเทศ  เช่น “กรณีเรือ  น.ป.ข.”  ถูกโจมตีจากประเทศต่างลัทธิที่มุ่งคุกคามไทยเพื่อจุดชนวนสงคราม  ทำให้ทหารเรือเสียชีวิตบนเรือ  น.ป.ข. ในแม่น้ำโขง  ริมฝั่งจังหวัดหนองคาย  ในหลวงเสด็จประทับบนเรือ  น.ป.ข. ที่ถูกโจมตี  ในฉลองพระองค์จอมทัพไทย  โดยไม่เกรงกลัวภยันตรายใด ๆ กองทัพไทย  สามเหล่าทัพ  เคลื่อนกำลัง พร้อมรบเต็มอัตราศึก  เป็นผลให้ความรุนแรงคลี่คลายได้ในที่สุด  ด้วยพระบารมีโดยแท้

“แม้เป็นฟ้าแต่มิอยู่ปลายฟ้า  เสด็จมาสร้างสันติสุขทั่วทุกถิ่น

 พระคือภูมิคุ้มกันภัยให้แผ่นดิน  ขจัดสิ้นสิ่งเลวร้าย  กลายเป็นดี”

               พระวิสุทธิญาณเถรได้สรุปว่าสมควรที่ชาวทำฆ้องทั้งหลายจะได้รังสรรค์ฆ้องให้มีลักษณะแตกต่างจากฆ้องดั้งเดิมแต่โบราณเพื่อถวายเป็นราชสักการะ

               บรรดาช่างทำฆ้องทั้งหลาย  เห็นชอบตามความคิดของพระวิสุทธิญาณเถร  จึงได้จัดทำฆ้องให้มี  9  จูม  โดยมีความหมายว่า

               * จูมใหญ่ตรงกลางฆ้อง  หมายถึง   ในหลวงพระประมุขของชาติ

               * จูมเล็ก  8  จูม  ล้อมรอบจูมใหญ่  หมายถึง  พสกนิกรทั่วประเทศขององค์พระประมุขทั้ง  8  ทิศ  ที่ยึดมั่นใน  “อริยมรรค”  ตามหลักพุทธธรรม  อันเป็นทางสายกลางแห่งความดับทุกข์  8  ประการ  ที่ชาวบ้านเรียกว่า  “มรรค 8”

               การลั่นฆ้องชัย  ในการเปิดงานและพิธีการสำคัญต่าง ๆ เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศ  ”ฆ้องอุบลราชธานี 9 จูม”  จำหน่ายแพร่หลายไปทุกภูมิภาคทั่วราชอาณาจักรไทย  พสกนิกรทั้งหลายได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีและเทิดทูน  “พ่อของแผ่นดิน”

  

การตีฆ้อง หมู่บ้านทรายมูล เป็นการถ่ายทอดการตีฆ้องจากรุ่นต่อรุ่น ยังคงสืบสานและพัฒนามารุ่นสู่รุ่น ฆ้องที่เห็นแพร่หลายในปัจจุบันมีทั้งหมด 9 จูม ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องโชคลาง สำหรับเคล็ดลับในการซื้อฆ้อง มี 11 ข้อดังนี้คือ
1.สิทธิชัยมังคลโชค
2.ตีอวดโลกป่าวเดียวดาย
3.เสียงดังไกลบ่มั่ว
4.เสียงดังทั่วเท่าแผ่นธรณี
5.แสน มเหสีมานั่งเฝ้า
6.เป็นเจ้าแผ่นทองเหลือง
7.แห่ขุนเมืองขึ้นนั่งแท่น
8.แสนขุนแหล่นมาเต้า
9.ตีโอนอ้าวเสพขอนผี
10.นางธรณีตกใจกลัวสะท้าน
11.ตีออกบ้านผามเอาชัย

 อานิสงส์ถวายสัพพทาน

...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ ๑. ให้ของที่สะอาด
๒. ให้ของประณีต ๓. ให้ถูกกาล ๔. ให้ของที่สมควร ๕. เลือกให้ ๖. ให้เสมอ ๆ
๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส ๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา
ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอัน เป็นอารามของนาย
อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี

ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอม
แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญ ูเจ้า แล้วก็นั่งในที่
ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใด
เลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา” อันว่าองค์


... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธา
มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า

สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลปสร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทรายก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็น ทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุก็จักได้อานิ สงส์ ๘ กัลป
บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือกให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป
ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสารให้เป็นทานได้อานิสงส ์ ๔๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอยถอนเสียจากเขตอารามได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างศาลาสะพานบ่อน้ำให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนได้อานิสงส์ ๘ กัลป
ผู้ใดได้สร้างอัฏฐให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป
ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าป่าได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดานเป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็งบูชาระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อนบูชาพระรัตนตรัยได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้งให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓ กัลป
ผู้ใดสร้างต้นกัลปพฤกษ์ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรีให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาดอาสนะได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดถวายเตียงเก้าอี้ฟูกเบาะให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรมให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟจุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป ผู้ได้สร้างพัทธสีมาน้ำได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป
ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดได้เผาซากศพที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดง ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ได้บริวาร ๓ หมื่น
ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดาได้บริวารหนึ่งแสน
ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้บริวารโกฏิหนึ่ง
ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำก็ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป

สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าห าญอาจสละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์
ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุขในชั่วนี้และชั่วหน้า

อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ จะไปมาทางใดก็มีคนนับหน้า
ถือตาไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่
สมาคมใด ๆ ก็ไม่ครั้นคร้ามสยดสยองเกรงกลัวต่ออำนาจผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตร
ปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตนเมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้น
ดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับ จนถึงพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้
ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่ง
ครั่งมั่งมีเศรษฐีกฎุมพีแล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมาบาร มีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน พอ
จบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์
สามส่วนบริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์

 
 
 

Bookmark and Share 

Google

 

Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 63,262 Today: 10 PageView/Month: 79

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...